การลดน้ำหนัก และสลายไขมันเฉพาะจุด

ที่ F Clinic by FashionTV เราออกแบบโปรแกรมลดน้ำหนักเฉพาะบุคคล (Personalised F Weight Loss) และการลดไขมันเฉพาะจุด (Fat Burn Solution) เพื่อเป็นงลัดเพื่อการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน เพิ่มการเผาผลาญ และการสลายไขมันเฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น ทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้เทคนิคทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและเห็นผลจริง เรามี 3 ทรีตเมนต์หลักในการลดน้ำหนัก สลายไขมัน เพิ่มการเผาผลาญ ดังนี้

1. F Personalised Weight Loss คือ โปรแกรมลดน้ำหนักที่ใช้เทคนิคทางการแพทย์ที่ไม่ใช่การผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลไว และยั่งยืน อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัด

2. Body Sculpting คือเทคนิคการปรับรูปร่างแบบผสมผสานที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยแบบไม่ต้องผ่าตัด เพื่อช่วยให้คุณมีรูปร่างที่กระชับ ได้สัดส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้เครื่องมือหลากหลาย เช่น RF Fat Burn, CryO Fat Freezing และ EMS กระตุ้นกล้ามเนื้อ

3. Fat-Dissolving Injection (Meso Fat) การฉีดยาสลายไขมันเฉพาะจุด เช่น แก้ม เหนียง หน้าท้อง หรือต้นแขน เพื่อกำจัดไขมันสะสมที่ดื้อดึงและยากต่อการลดด้วยวิธีอื่น ให้กรอบหน้าชัดขึ้น และรูปร่างเรียวลงอย่างปลอดภัย

4. IV Fat Burn – L-Carnitine Drip วิตามินดริปสูตรเฉพาะที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพของระบบเมตาบอลิซึม และส่งเสริมการสลายไขมันสะสม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเร่งการลดไขมันควบคู่กับการออกกำลังกาย

โปรแกรมลดน้ำหนักเฉพาะบุคคล (Personalised F Weight Loss)

เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมั่นใจ ด้วยผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ทางการแพทย์

โปรแกรม Personalised F Weight Loss จาก F Clinic by FashionTV ออกแบบมาเพื่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างจริงจังและยั่งยืน ด้วยเทคนิคทางการแพทย์ที่ทันสมัย ไม่ผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ถือเป็นการดูแลแบบองค์รวม ตั้งแต่ควบคุมความอยากอาหาร กระตุ้นระบบเผาผลาญ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ในขณะลดน้ำหนัก ไม่ว่าคุณจะต้องการลดไขมันสะสม เสริมพลังงาน หรือยกระดับสุขภาพโดยรวม ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมดูแลและให้คำแนะนำทุกขั้นตอน

ขั้นตอน:
  • เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้ได้รับอนุญาต เพื่อประเมินสุขภาพทั่วไป ประวัติการแพ้ยา
  • รับยาสัปดาห์ละครั้ง โดยคนไข้สามารถมาทำที่คลีนิกหรือทำด้วยตนเองที่บ้านก็ได้
  • คนไข้ต้องมาติดตามผลการรักษาทุก 1-2 สัปดาห์
  • การรับยาจำเป็นต้องดำเนินต่อเนื่องอย่างน้อย 4 สัปดาห์ โดยแพทย์และคนไข้จะประเมินและตัดสินใจร่วมกันว่าจะใช้เวลารวมทั้งหมดกี่สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพท์ (น้ำหนักตัว/สัดส่วน) ที่คาดหวัง

ระยะเวลาการเห็นผลและความต่อเนื่อง

  • คนไข้ส่วนใหญ่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างชัดเจนในช่วง 4–12 สัปดาห์แรก ขึ้นอยู่กับร่างกายและการปฏิบัติตามคำแนะนำ

  • ผลลัพธ์ที่ได้รวมถึง: น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง ความอยากอาหารลดลง รอบเอวลดลง พลังงานในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น

  • ความยั่งยืนของผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรม การควบคุมอาหาร และการติดตามผลกับทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ข้อควรระวัง

  • ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดเฉพาะ หรือมีโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง

  • อาจมีผลข้างเคียงในช่วงเริ่มต้น เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือท้องผูก ซึ่งมักจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัว

  • ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ก่อนการรักษา น้ำหนัก 82 กก.
หลังการรักษา 8 เดือน น้ำหนัก 55 กก.

ปรับรูปร่าง กระชับสัดส่วนในแบบที่คุณต้องการ

ที่ F Clinic by FashionTV เราเชื่อว่าความงามคือศิลปะ—และรูปร่างของคุณคือผลงานที่เราตั้งใจรังสรรค์ บริการปรับรูปร่างกระชับสัดส่วน หรือ Body Sculpting ของเราออกแบบมาเพื่อช่วย ให้คุณมีรูปร่างที่ดีขึ้น ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ปรับสัดส่วน และกำจัดไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดไม่ลง ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด ทันสมัย และปลอดภัย โซลูชันของเราได้ผลจริง ไม่เจ็บตัว และปรับตามเป้าหมายของคุณได้โดยเฉพาะ

โปรแกรม Body Sculpting ของเราประกอบด้วย:

  • EMS (Electromagnetic Muscle Stimulator): กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  • RF (Radio Frequency): กระชับผิว ลดเซลลูไลท์ และกระตุ้นคอลลาเจนด้วยคลื่นวิทยุ

  • CryO Fat Freezing: สลายไขมันด้วยความเย็นเฉพาะจุด โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง

Electromagnetic Muscle Stimulator (EMS)

HIFEM,EMS, Electromagnetic, muscle,stimulator,body,sculpting

กลไกการทำงานของ EMS คืออะไร?

เครื่อง EMS (เช่น Emsculpt, Super Max EMS หรือเทคโนโลยีเทียบเท่า) ใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูงแบบโฟกัส (HIFEM) เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งแบบ Supramaximal ซึ่งเป็นการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่มากกว่าการออกกำลังกายทั่วไป โดยปกติการออกกำลังกายทั่วไปจะกระตุ้นเพียง 30–50% ของเส้นใยกล้ามเนื้อในแต่ละครั้ง
แต่ EMS สามารถกระตุ้นได้มากถึง 100% ของเส้นใยกล้ามเนื้อในบริเวณเป้าหมาย

เพียง 30 นาทีต่อครั้ง เทียบเท่าการออกกำลังกายมากกว่า 5.5 ชั่วโมง หรือเท่ากับการทำ ซิทอัพหรือสควอท 25,000 ครั้ง

ขั้นตอนการทำ EMS:
  1. เลือกบริเวณที่ต้องการกระชับ: เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือสะโพก

  2. ติดตั้งหัวเครื่อง: นอนในท่าที่สบาย จากนั้นเจ้าหน้าที่จะวางแอปพลิเคเตอร์ลงบนบริเวณที่เลือก

  3. เริ่มกระตุ้นกล้ามเนื้อ: เครื่องจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง ผ่านแอปพลิเคเตอร์ลงลึกสู่ชั้นกล้ามเนื้อ กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องและรุนแรงกว่าการออกกำลังกายปกติ โดยไม่รู้สึกเจ็บหรือเหนื่อย

กระบวนการนี้เปรียบได้กับการฝึกแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) โดยไม่ต้องออกแรงเอง

จุดเด่นของการทำ EMS 

การหดเกร็งของกล้ามเนื้อในระดับสูงและถี่จากการทำ EMS ส่งผลให้ร่างกายเกิดการตอบสนองที่มีประโยชน์ต่อทั้งกล้ามเนื้อและไขมัน ดังนี้:

  • เผาผลาญพลังงานอย่างเข้มข้น
    การบีบตัวของกล้ามเนื้อแบบต่อเนื่องทำให้ร่างกายใช้พลังงานจำนวนมาก ส่งผลให้มีการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เพิ่มความแข็งแรงและปริมาณของกล้ามเนื้อ
    กล้ามเนื้อได้รับการกระตุ้นให้แข็งแรงขึ้นและหนาขึ้น ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อโดยรวม

  • กระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีน
    ร่างกายจะซ่อมแซมและสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อใหม่ผ่านกระบวนการสร้างโปรตีน ส่งผลให้กล้ามเนื้อเติบโตอย่างต่อเนื่อง

  • กระตุ้นการเผาผลาญไขมันเฉพาะจุด
    ช่วยให้การเผาผลาญไขมันในบริเวณที่ทำงานเกิดขึ้นได้พร้อมกับการสร้างกล้ามเนื้อ

  • ปรับรูปร่างในบริเวณที่ออกกำลังกายยาก
    สร้างผลลัพธ์ระดับลึกที่การออกกำลังกายทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะบริเวณที่ฝึกยาก เช่น หน้าท้องส่วนล่าง หรือ ต้นขาด้านใน

ควรทำ EMS บ่อยแค่ไหน?

การทำ EMS อย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 4–6 สัปดาห์
สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ได้แก่:

  • รูปร่างกระชับและได้สัดส่วนมากขึ้น

  • เพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างเห็นได้ชัด

  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

  • ลดไขมันและเซลลูไลท์เฉพาะจุด

ทำไมคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำยังมีปัญหาเรื่องรูปร่าง?

  • กล้ามเนื้อบางส่วนกระตุ้นได้ยากด้วยการออกกำลังกายทั่วไป เช่น หน้าท้องส่วนล่าง ก้น หรือต้นขาด้านใน ซึ่งยากต่อการโฟกัสและใช้งานอย่างเต็มที่
  • กล้ามเนื้อดื้อต่อการฝึกซ้ำ เมื่อร่างกายชินกับการออกกำลังกายเดิม ๆ กล้ามเนื้อจะตอบสนองน้อยลง ทำให้การพัฒนาเริ่มช้าลง
  • ไขมันสะสมใต้ผิว (Subcutaneous Fat) แม้เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายโดยรวมจะต่ำ แต่ชั้นไขมันเฉพาะจุดอาจบดบังกล้ามเนื้อที่สร้างไว้
  • ข้อจำกัดเรื่องเวลาและความเข้มข้น
    การฝึกแบบให้ได้ระดับการหดเกร็งกล้ามเนื้อสูงสุด (Supramaximal Contraction) ด้วยตนเอง ต้องใช้เวลานานและแรงฝึกในระดับที่อาจเกินขีดความปลอดภัย
EMS, Electromagnetic, muscle,stimulator,body,sculpting

EMS เสริมการออกกำลังกายอย่างไร ?

  • ช่วยเพิ่มความกระชับและความชัดของกล้ามเนื้อ ได้มากกว่าการออกกำลังกายทั่วไป
  • เพียง 30 นาที เทียบเท่าการทำซิทอัพหรือสควอทได้ถึง 25,000 ครั้ง
  • เน้นการกระตุ้นเฉพาะกล้ามเนื้อเฉพาะจุด โดยไม่รบกวนสมดุลของโปรแกรมออกกำลังกายโดยรวม
  • เสริมการเชื่อมต่อระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Neuromuscular Connection) ให้ร่างกายเรียกใช้กล้ามเนื้อได้มีประสิทธิภาพขึ้นในการออกกำลังกายจริง
  • สามารถทำร่วมกับโปรแกรมฟิตเนสปัจจุบันได้อย่างปลอดภัย
  •  

EMS เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ยังรู้สึกว่าบริเวณหน้าท้อง ก้น ต้นแขน หรือต้นขายังไม่กระชับหรือขาดความชัดเจน

  • ผู้ที่รูปร่างผอมแต่มีปัญหาไขมันสะสมเฉพาะจุด (ลักษณะผอมแต่ไม่กระชับ หรือ Skinny-fat)

  • คุณแม่หลังคลอดที่มีภาวะกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก (Diastasis Recti) ระดับเล็กถึงปานกลาง

  • นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยไม่ต้องผ่าตัด

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จาก EMS

  • ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 6 เดือน หากมีการดูแลด้วยการออกกำลังกายต่อเนื่อง

  • เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนหลังทำประมาณ 4-6 ครั้ง

  • รูปร่างดูกระชับขึ้น กล้ามเนื้อแน่นขึ้น และมีความชัดเจนมากขึ้น

  • หลังจากทำครั้งแรก อาจรู้สึก ปวดเมื่อยเล็กน้อยบริเวณที่ทำ ในวันถัดไป เป็นอาการจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในระดับสูง (Supramaximal Contraction)

  • ช่วยเสริม ความทนทานของกล้ามเนื้อ และ เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายปกติ

ข้อควรระวัง

  • EMS ไม่ใช่การทดแทนการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีเงื่อนไขต่อไปนี้:

    • มี โลหะฝังในร่างกาย

    • มี เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติ (Defibrillator)

    • ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดรุนแรง

  • อาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคล้ายกับอาการ DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) ซึ่งเป็นภาวะปกติหลังจากการกระตุ้นกล้ามเนื้อ

Radio Frequency (RF)

การยกกระชับผิวอย่างปลอดภัยด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RF) คือหัตถการแบบไม่ผ่าตัด ที่ใช้พลังงานความร้อนส่งลึกเข้าสู่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน ในระดับลึก เหมาะสำหรับ: ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดเซลลูไลท์ ปรับสัดส่วนและรูปร่างโดยรวม ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว

ที่ F Clinic by FashionTV ทรีตเมนต์ RF ทุกครั้งดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และเครื่องมือที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย คุณจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย ความสบาย และผลลัพธ์ที่สังเกตได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการ ยกกระชับใบหน้า หรือ กระชับเรือนร่าง —ให้เราช่วยคุณเผยความมั่นใจในแบบที่ดีที่สุดของคุณ

กลไกการทำงานของคลื่น RF

พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF) จะถูกส่งลงลึกสู่ชั้น ผิวหนังแท้ (Dermis) และ ชั้นใต้ผิวหนัง (Subdermal Layer) เพื่อสร้างความร้อนในระดับที่ควบคุมได้ กระตุ้นให้เกิด การอักเสบระดับจุลภาค (Microthermal Injury) ซึ่งเป็นสัญญาณกระตุ้นให้เซลล์ ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) สร้างคอลลาเจนใหม่ ในขณะเดียวกันยังช่วย: กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และย่อขนาดเซลล์ไขมัน ในบริเวณที่รับการรักษา

บริเวณที่นิยมทำ RF Treatment ได้แก่:
  • ใบหน้าและลำคอ: ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปกรอบหน้า

  • หน้าท้อง: กระชับผิวที่หย่อนหลังคลอดหรือหลังลดน้ำหนัก

  • ต้นขาและสะโพก: ลดเซลลูไลท์ ผิวเรียบเนียนขึ้น

  • ต้นแขน (ปีกหลัง): กระชับและปรับรูปทรงแขน

  • แผ่นหลังและเอวด้านข้าง: ลดไขมันเฉพาะจุดและปรับรูปร่างให้ดูสมส่วน

จุดเด่นของการทำทรีตเมนต์ด้วยคลื่น RF

  • ไม่ต้องผ่าตัด และไม่เจ็บ เป็นวิธีที่ไม่รุกรานผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์โดยไม่ต้องพักฟื้น
  • ยกกระชับผิวและลดความหย่อนคล้อย ช่วยปรับความตึงตัวของผิว ทำให้ดูแน่นขึ้นและอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก ฟื้นฟูโครงสร้างผิว ลดสัญญาณแห่งวัยอย่างเห็นได้ชัด
  • ลดเซลลูไลท์ และผิวไม่เรียบเนียน
    ผิวเรียบเนียนขึ้นในบริเวณต้นขา สะโพก หรือต้นแขน
  • ไม่มีช่วงพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันทีหลังทำ
  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง ช่วยขจัดของเสียในผิว และเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ

ใครเหมาะกับการทำ RF ?

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเล็กถึงปานกลาง บริเวณใบหน้าหรือร่างกาย

  • ผู้ที่ต้องการกระชับผิวหลังการลดน้ำหนักหรือหลังคลอด

  • ผู้ที่มีเซลลูไลท์ หรือปัญหาผิวไม่กระชับเฉพาะจุด เช่น ต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้อง

  • ผู้ที่มองหาวิธีฟื้นฟูผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด และไม่มีช่วงพักฟื้น

ควรทำ RF บ่อยแค่ไหน ?

  • แนะนำให้ทำต่อเนื่อง 4–6 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน

  • หลังจากนั้นสามารถทำ เดือนละ 1–2 ครั้ง หรือ ทุก 1–2 สัปดาห์ เพื่อคงผลลัพธ์ระยะยาว

ผลลัพธ์จะค่อย ๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2–3 เดือน ขณะที่คอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น และสามารถคงอยู่ได้นานถึง 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล การดูแลต่อเนื่องเป็นประจำจะช่วยเสริมและยืดอายุของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น

RF เสริมผลลัพธ์จากการออกกำลังกายได้อย่างไร ?

1. จัดการกับจุดดื้อที่ออกกำลังกายอย่างเดียวเอาไม่อยู่

แม้ออกกำลังกายเป็นประจำ บริเวณบางจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน หรือใต้คาง อาจยังมีผิวหย่อนคล้อยหรือไขมันสะสมอยู่
RF ช่วยกระชับผิวบริเวณเหล่านี้ได้ โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และย่อขนาดเซลล์ไขมัน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับมากขึ้น

2. เสริมผลลัพธ์หลังการลดน้ำหนัก หรือการฟิตกล้ามเนื้อ

หลังจากลดน้ำหนักมาก หรือฝึกกล้ามเนื้ออย่างจริงจัง ผิวอาจหย่อนหรือไม่กระชับเท่าที่ต้องการ
RF จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแน่นของผิว ช่วยให้รูปร่างดูชัดเจนและสะท้อนกล้ามเนื้อที่คุณสร้างมาได้อย่างเต็มที่

3. กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง

RF ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและการระบายของเสียทางระบบน้ำเหลือง ช่วยลดการบวมน้ำ และอาจช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ

4. ลดลักษณะของเซลลูไลท์

แม้การออกกำลังกายจะช่วยลดไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้อ แต่ เซลลูไลท์ มักยังคงอยู่
RF ช่วยสลายพังผืดใต้ผิวหนัง และปรับผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น—ซึ่งเป็นสิ่งที่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวอาจทำได้ไม่เต็มที่

ข้อควรระวัง

  • อาจมีอาการ ผิวแดง อุ่น หรือบวมเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งมักจะหายไปภายในเวลาสั้น ๆ ในบางกรณีอาจเกิดอาการเขียวช้ำได้ โดยจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม RF ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) มีโลหะฝังในร่างกาย มีอาการติดเชื้อบนผิวหนังในบริเวณที่จะทำการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด และการขัดผิวแรง ๆ ภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังทำ
  • โปรดแจ้งประวัติสุขภาพทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนเข้ารับบริการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการรักษา

ทำไมควรทำ RF ร่วมกับ EMS?

1. เสริมพลังสองทาง เห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

  • RF ทำงานกับชั้นไขมันและผิว ช่วยกระชับและลดความหย่อนคล้อย

  • EMS กระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและชัดเจน
    การทำร่วมกันช่วย ลดไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน ทำให้รูปร่างดูเฟิร์มและมีมิติมากขึ้น

2. กระชับผิว + สร้างกล้ามเนื้อ = รูปร่างแน่นกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ

  • RF กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวที่หย่อนกลับมาตึงขึ้น

  • EMS เน้นกระตุ้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก ต้นแขน
    เหมาะมากสำหรับผู้ที่ ลดน้ำหนักแล้ว และต้องการกระชับรูปร่างต่อ

3. เร่งการเผาผลาญไขมันและระบบเมตาบอลิซึม

  • RF เพิ่มการไหลเวียนเลือดและการเผาผลาญไขมันเฉพาะจุด

  • EMS กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกาย เผาผลาญแคลอรีมากขึ้นแม้หลังจบการรักษา
    เมื่อทำร่วมกันจะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่าทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

 

CryO Fat Freezing

บอกลาไขมันส่วนเกินอย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องผ่าตัด ที่ F Clinic เราใช้เทคโนโลยี Cryolipolysis (การแช่แข็งไขมัน) เพื่อลดไขมันเฉพาะจุดอย่างแม่นยำและปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องผ่าตัด พร้อมปรับรูปร่างให้ดูชัดเจนและมั่นใจยิ่งขึ้น

กลไกการทำงาน

CryO Fat Freezing ทำงานด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Cryolipolysis ซึ่งใช้ความเย็นในระดับควบคุม (-10 ถึง -12 องศาเซลเซียส) เพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
เมื่อไขมันถูกแช่แข็ง เซลล์ไขมันจะตกผลึก ตายลง และถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบน้ำเหลืองอย่างเป็นธรรมชาติภายใน 4–12 สัปดาห์

บริเวณยอดนิยมที่สามารถทำได้:
  • หน้าท้อง

  • เอวด้านข้าง (Love Handles)

  • ต้นขาด้านในและด้านนอก

  • ต้นแขน

  • ไขมันด้านหลังและปีกใต้เสื้อชั้นใน

จุดเด่นของ CryO Fat Freezing:

  • ลดไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือใช้เข็ม
  • กำจัดไขมันเฉพาะจุดอย่างแม่นยำ
  • ไม่ต้องพักฟื้น—สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
  • ไขมันจะค่อย ๆ ลดลงอย่างเป็นธรรมชาติใน 4–12 สัปดาห์
  • ใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการรับรองโดย อย. ไทย และพิสูจน์แล้วในทางคลินิก
  • เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะหายไปถาวร (หากควบคุมน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง)

ควรทำ CryO Fat Freezing บ่อยแค่ไหน?

  • โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 1–3 ครั้งต่อบริเวณ ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและเป้าหมายของลูกค้า

  • ควรเว้นระยะห่างระหว่างแต่ละครั้งประมาณ 2–4 สัปดาห์

  • ผลลัพธ์เต็มที่มักจะเห็นได้ภายใน 6–12 สัปดาห์ หลังจากร่างกายกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายออกไปทางระบบน้ำเหลือง

  • เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาอีก ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน หากควบคุมน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ

ใครเหมาะกับการทำ CryO Slim?

CryO Slim เหมาะสำหรับผู้ที่:

  • มีน้ำหนักใกล้เคียงเป้าหมายแล้ว แต่ยังมีไขมันเฉพาะจุดที่กำจัดยาก
  • ต้องการปรับรูปร่างให้ดูชัดเจนโดย ไม่ต้องผ่าตัด
  •  มีไขมันที่ลดไม่ได้แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย
  •  ต้องการลดไขมันแบบค่อยเป็นค่อยไป และดูเป็นธรรมชาติ
  •  มองหาทางเลือกที่ ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว แทนการดูดไขมัน

การฉีดสลายไขมัน (เมโสแฟต)

คือทรีตเมนต์แบบ กึ่งรุกราน (Minimally Invasive) ที่ออกแบบมาเพื่อลดไขมันเฉพาะจุดที่ดื้อดึงและไม่ตอบสนองต่อการควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกาย โดยใช้เทคนิคการฉีดสารสลายไขมันเข้าสู่บริเวณเป้าหมายอย่างแม่นยำ เช่น เหนียง ใต้คาง, ต้นแขน, หน้าท้อง, หรือ ต้นขา เพื่อทำลายเซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกขับออกจากร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติผ่านทาง ระบบน้ำเหลือง
ทำให้รูปร่างบริเวณนั้นดู กระชับ, ได้รูป, และ มีมิติยิ่งขึ้น ตัวยาที่ใช้ ประกอบด้วย:

  • Deoxycholic acid: ช่วยทำลายผนังเซลล์ไขมัน

  • Phosphatidylcholine (PPC): ช่วยกระตุ้นการสลายไขมัน

  • เอนไซม์ Lipolytic อื่น ๆ: เพิ่มประสิทธิภาพในการสลายและขับไขมันออกจากร่างกาย

กลไกการทำงาน

เมื่อฉีดตัวยาเข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat Layer),
ตัวยาจะเข้าไปทำลาย เยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน (Adipocyte Membrane)
ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวและถูกระบบน้ำเหลืองของร่างกายขับออกอย่างเป็นธรรมชาติในระยะเวลา 2–4 สัปดาห์ ไขมันที่ถูกกำจัดจะ ไม่กลับมาอีก หากควบคุมน้ำหนักได้คงที่

บริเวณที่นิยมฉีด ได้แก่ เหนียง / คางสองชั้น, กรอบหน้า / แก้มล่าง, ต้นแขน, หน้าท้อง / รอบเอว, ปีกเอว, ต้นขา (ด้านใน / ด้านนอก), แผ่นหลัง / ปีกใต้ชุดชั้นใน

จุดเด่นของทรีตเมนต์ (Key Benefits)

  • ลดไขมันเฉพาะจุดแบบไม่ต้องผ่าตัด (Minimally Invasive)
  • ปรับสัดส่วนให้ดูคมชัด กระชับ อย่างแม่นยำ
  • ทำลายเซลล์ไขมันถาวร (หากควบคุมน้ำหนักได้ดี)
  • ไม่ต้องวางยาสลบ และ ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • ใช้สูตรยาที่ได้รับการรับรองจาก อย.ไทย (FDA Approved) และปลอดภัยทางการแพทย์

ข้อควรระวัง

  • อาจมีอาการ บวม, แดง, ช้ำ หรือเจ็บเล็กน้อย บริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายภายในไม่กี่วัน

  • ในบางราย อาจรู้สึกว่าชีพจรเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยชั่วคราว

  • ไม่แนะนำในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น โรคตับ, ไต, หัวใจ หรือแพ้ส่วนผสมในตัวยา

  • ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักทั้งตัว แต่เหมาะกับการลดไขมันเฉพาะจุดที่ดื้อดึง

  • ควรหลีกเลี่ยง การดื่มแอลกอฮอล์ ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น แอสไพริน) และการออกกำลังกายหนักก่อน-หลังทำ 24 ชั่วโมง

ควรทำบ่อยแค่ไหน? 

  • แนะนำ 2–3 ครั้ง ต่อบริเวณ โดยฉีดห่างกันทุก 4–8 สัปดาห์

  • ปริมาณตัวยาที่ใช้: 1–2 ขวดต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดบริเวณที่รักษา และการตอบสนองของร่างกาย

  • ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 2–6 สัปดาห์ หลังทำ

  • เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะ ไม่กลับมาอีก (ถ้าน้ำหนักตัวคงที่และดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง)

  • บริเวณที่ทำจะค่อย ๆ ดูเรียบ กระชับ และมีรูปทรงชัดขึ้น

โปรแกรม IV FAT BURN

กลไกการทำงานของ IV FAT BURN

ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญไขมันเร็วขึ้นอย่างปลอดภัย สูตรเฉพาะของ F Clinic ผสานพลัง L-Carnitine, CLA, Probiotic และวิตามินจำเป็นหลายชนิด เพื่อเร่งระบบเผาผลาญพลังงาน (Metabolism) เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร โดยผลลัพธ์ที่ได้ คือรูปร่างกระชับ เฟิร์ม และสมดุลยิ่งขึ้น

ขั้นตอน:
  • เริ่มต้นด้วยการปรึกษาเบื้องต้น
    โดยแพทย์หรือพยาบาลผู้ได้รับอนุญาต เพื่อประเมินสุขภาพทั่วไป ประวัติการแพ้ยา และระดับความชุ่มชื้นของร่างกาย

  • เลือกสูตรวิตามินที่เหมาะสม
    สำหรับ IV FAT BURN จะใช้สูตร Cocktail พิเศษของ F Clinic ผสม L-Carnitine, CLA และ Probiotic ในปริมาณ 100 ml ต่อครั้ง

  • ติดตามสัญญาณชีพ
    เจ้าหน้าที่จะวัดความดันโลหิต ชีพจร และอุณหภูมิ ก่อนเริ่มทำการเจาะเส้นเลือด (โดยปกติที่แขนหรือมือ)

  • เริ่มการให้ IV Drip
    เชื่อมถุงน้ำเกลือกับเส้นผ่านสายปลอดเชื้อ และให้สารละลายเข้าสู่ร่างกายแบบช้า ๆ โดยใช้แรงโน้มถ่วงหรือเครื่อง Infusion Pump
    ใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที ขึ้นอยู่กับสูตรที่เลือก

  • เฝ้าระวังระหว่างทำ
    เจ้าหน้าที่จะคอยติดตามอาการข้างเคียง เช่น การระคายเคืองที่เส้นเลือด อาการแพ้ หรือความผิดปกติของสัญญาณชีพ

  • จบขั้นตอนอย่างปลอดภัย
    เมื่อเสร็จสิ้นการให้สารละลาย จะถอดเข็มออก ทำความสะอาดและปิดแผล พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง เช่น ดื่มน้ำให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 24 ชั่วโมงถัดไป

ประโยชน์ของการให้ L-Carnitine ผ่าน IV Drip

เมื่อให้ผ่านทางสายน้ำเกลือ (IV Drip) ร่างกายจะดูดซึม L-Carnitine ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ได้แก่:

  • ช่วยลำเลียงกรดไขมันเข้าสู่เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงาน ส่งเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
  • สนับสนุนการลดน้ำหนัก เมื่อทำควบคู่กับการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม
  • เพิ่มความอึดและความทนทานของร่างกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เสริมการสร้างพลังงานระดับเซลล์ เหมาะสำหรับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ลดอาการล้ากล้ามเนื้อ และ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น หลังจากการออกกำลังกายอย่างหนัก
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โดยส่งเสริมการไหลเวียนเลือดและลดภาวะเครียดจากอนุมูลอิสระ
  • มีคุณสมบัติในการปกป้องสมอง (Neuroprotective)
  • ช่วยเสริมการทำงานของสมอง ความจำ และสมาธิ
  • ลดอาการสมองล้า (Brain Fog) และเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
  • ลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายหนัก
  • สนับสนุนการเผาผลาญกลูโคสในร่างกาย

เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน หรือกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome)

ความถี่ที่แนะนำในการทำ IV FAT BURN

วัตถุประสงค์

ความถี่ที่แนะนำ

หมายเหตุ

กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน / ลดน้ำหนัก

1 ครั้งต่อสัปดาห์

ควรทำร่วมกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร

เพิ่มสมรรถภาพทางกีฬา / ฟื้นตัวไวขึ้น

ทุก 7–14 วัน

เสริมการสร้างพลังงาน และลดอาการอ่อนล้าหลังออกกำลังกายหนัก

ชะลอวัย / เสริมสุขภาพโดยรวม

ทุก  2–4 สัปดาห์

โปรแกรมบำรุงร่างกายระยะยาว เพื่อความกระปรี้กระเปร่าและความสดชื่นโดยรวม

ระยะเวลาการเห็นผลและความต่อเนื่อง

  • โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 6–10 ครั้ง เป็นคอร์ส เพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน

  • หลังจากนั้นสามารถทำ เดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 2 เดือน เพื่อคงประสิทธิภาพของการเผาผลาญ

  • ผลลัพธ์จะดีที่สุด เมื่อต่อยอดด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และควบคุมโภชนาการให้เหมาะสม

ข้อควรระวัง

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:

  • คลื่นไส้เล็กน้อย

  • กลิ่นตัวคล้ายกลิ่นปลา (ในกรณีรับ L-Carnitine ขนาดสูง)

  • ปวดท้องหรือท้องเสีย (พบได้น้อย)

  • ปวดศีรษะเล็กน้อยจากอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น (ในบางราย)

  • ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวาน

ไม่แนะนำให้ทำในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับหรือไต